โกรธ เครียดบ่อย เสี่ยง " มะเร็งระยะสุด" จริงหรือไม่ ?
None
Author:FUDA
From:
คำถามที่หลายคนสงสัยว่า “เนื้องอกหรือมะเร็งสามารถเกิดจากความเครียดหรือความโกรธได้หรือไม่” คำตอบคือ โดยตรงนั้นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด เพราะการเกิดของมะเร็งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน เกิดจากปัจจัยหลายประการร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม พฤติกรรมการใช้ชีวิต สิ่งแวดล้อม และภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ความโกรธหรือความเครียดเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เกิดมะเร็งได้ในทันที
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยและข้อมูลทางคลินิกบางส่วนแสดงให้เห็นว่า ภาวะอารมณ์ลบเรื้อรัง เช่น ความโกรธ ความเครียด หรือความวิตกกังวล อาจส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายมีแนวโน้มอ่อนแอลง และอาจมีส่วนในการส่งเสริมกระบวนการเกิดโรคบางชนิด รวมถึงอาจมีบทบาทในกระบวนการพัฒนาและลุกลามของมะเร็งได้ในระยะยาว
ประโยคหนึ่งที่ผู้เขียนนึกถึงคือ “อดทนไว้ กลายเป็นต่อมเต้านมโต ถอยอีกนิดเป็นเนื้องอกมดลูก ยอมอีกหน่อยเจอถุงน้ำรังไข่ กลืนคำพูดไว้ กลายเป็นก้อนที่ไทรอยด์” แม้จะฟังดูเกินจริง แต่สะท้อนให้เห็นว่าความเครียดสะสมอาจส่งผลต่อสุขภาพได้จริง

องค์การอนามัยโลกชี้ 70% ของโรคเกี่ยวข้องกับอารมณ์ลบ “บุคลิกภาพแบบ C” อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งหลายเท่า
องค์การอนามัยโลก (WHO) เคยระบุว่า มากกว่า 70% ของโรคต่าง ๆ มีความเกี่ยวข้องกับอารมณ์ด้านลบ เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล ความโกรธ และภาวะซึมเศร้า ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าจิตใจและร่างกายมีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง
ในทางจิตวิทยา ยังมีลักษณะบุคลิกภาพที่เรียกว่า “บุคลิกภาพแบบ C” (Type C Personality) หรือในบางครั้งเรียกว่า “บุคลิกภาพเสี่ยงมะเร็ง” โดยผู้ที่มีบุคลิกภาพแบบนี้มักมีลักษณะเด่นคือ ชอบเก็บความรู้สึก ไม่แสดงออก, อ่อนไหว รับแรงกดดันได้ยาก, ยอมรับชะตากรรม ไม่ค่อยต่อต้าน, มองโลกในแง่ลบ มักรู้สึกเศร้า เสียใจ, มักเก็บกดอารมณ์ และไม่ระบายความเครียดออกมา
งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่มีบุคลิกภาพแบบ C มีแนวโน้มเป็นมะเร็งมากกว่าคนทั่วไปถึง 3 เท่า และมีรายงานว่าผู้ป่วยมะเร็งทั่วไปในกลุ่มโรคที่พบบ่อย เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม และมะเร็งปอด มากถึง 40%-80% มีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับบุคลิกภาพแบบ C ได้แก่ การเก็บกดอารมณ์ การโกรธง่าย การไม่ระบายความเครียด
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเติมจากปี 2020 โดย ศาสตราจารย์ Shamgar Ben-Eliyahu จากคณะวิทยาศาสตร์จิตวิทยา มหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ (Tel Aviv University - TAU) และ ศาสตราจารย์ Oded Zmora จากศูนย์การแพทย์ Assaf Harofe พบว่า ความเครียดที่เกิดขึ้นในช่วงการผ่าตัดของผู้ป่วยมะเร็งสามารถ ลดการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน และกระตุ้นให้มะเร็งแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น
อัตราการแพร่กระจายหลังการผ่าตัดในผู้ป่วยมะเร็งประเภทต่าง ๆ คือ มะเร็งเต้านม: ประมาณ 10% , มะเร็งลำไส้ใหญ่: 20%-40% , มะเร็งตับอ่อน: สูงถึง 80%

แหล่งอ้างอิงจริง
โกรธ = ป่วย จริงหรือไม่? ความรู้จากแพทย์แผนจีนและงานวิจัยสมัยใหม่ชี้ชัดว่าไม่ควรมองข้ามอารมณ์
ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธแบบรุนแรงชั่วขณะ หรือการเก็บกดความโกรธสะสมเรื้อรัง ล้วนส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายทั้งสิ้น
ตั้งแต่สมัยโบราณ แพทย์แผนจีน ก็ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาโดยตลอด ในคัมภีร์โบราณ หวงตี้เน่ยจิง (黄帝内经) ได้กล่าวไว้ว่า:“โกรธทำร้ายตับ, ดีใจเกินเหตุทำร้ายหัวใจ, เศร้าทำร้ายปอด, กังวลทำร้ายม้าม, ตกใจทำร้ายไต, โรคภัยทั้งหลายล้วนเริ่มต้นจากพลังชีวิต (ชี่) ที่ไม่สมดุล”
แพทย์แผนจีนเชื่อว่า เมื่อ ชี่ (พลังชีวิต) ในร่างกายไหลเวียนไม่สะดวก เกิดความไม่สมดุลของพลังหยิน-หยาง ระบบอวัยวะต่าง ๆ ก็จะถูกรบกวนจนกลายเป็นต้นเหตุของโรค

เมื่ออารมณ์รุนแรง...ร่างกายก็แสดงออกทันที
· เมื่อโกรธ: หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตพุ่งสูง คล้ายกับเครื่องจักรที่กำลังเดือดพล่าน
· เมื่อเครียด: กระเพาะอาหารแปรปรวน อาหารไม่ย่อย เจ็บท้อง กินอะไรไม่อร่อย
· เมื่อวิตกกังวล: นอนไม่หลับ ผมร่วง สิวขึ้น เหมือนร่างกายเริ่มพังจากภายใน
ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจาก ความเครียดเรื้อรัง วิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้า ที่ส่งผลกระทบต่อระบบต่อมไร้ท่อ (ฮอร์โมน), ระบบภูมิคุ้มกัน และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังหลากหลายชนิด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และมะเร็ง
งานวิจัยก็สนับสนุนสิ่งนี้
· หลังจากเกิดอารมณ์โกรธรุนแรง ภายใน 2 ชั่วโมง มีความเสี่ยง:
· หลอดเลือดสมองตีบเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า
· กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันและกลุ่มอาการหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน (ACS) เพิ่มขึ้น 4 เท่า
· แม้แค่ โกรธเพียง 8 นาที ก็สามารถทำให้หลอดเลือดถูกทำลายต่อเนื่องนานถึง 40 นาที หลังจากนั้น
· ผู้ที่อยู่ในภาวะ โศกเศร้าหรือซึมเศร้า เป็นเวลานาน มีความเสี่ยงต่อโรคปอดสูงกว่าคนทั่วไปถึง 30%
นอกจากนี้ การเก็บความโกรธไว้นาน ๆ ยังส่งผลต่อระบบฮอร์โมนในร่างกาย โดยจะเปลี่ยนแปลงการหลั่งของคอร์ติซอล ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง และส่งผลกระทบต่อการหลั่งของฮอร์โมนเพศ อาจทำให้เกิดปัญหารอบเดือนผิดปกติได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการโกรธบ่อย ๆ จะดีที่สุด
สิ่งที่ควรให้ความสำคัญคือ ความโมโหง่ายอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดก้อนที่ต่อมไทรอยด์ได้ ขณะที่ความโกรธ ความเครียด และอารมณ์ด้านลบอื่น ๆ ถูกมองว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดก้อนที่เต้านมได้ จากข้อมูลในวารสารทางการแพทย์ระบุว่า ผู้หญิงที่มีอารมณ์ด้านลบมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมสูงกว่าผู้หญิงที่ไม่มีหรือมีอารมณ์ด้านลบน้อย ถึง 59% อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า ความโกรธหรืออารมณ์ด้านลบสามารถทำให้เกิดก้อนในปอดได้
จะใช้ “อารมณ์ดี” รักษาโรคได้อย่างไร
แย่ทำร้ายร่างกายได้ อารมณ์ดีก็ย่อม “รักษาโรค” ได้เช่นกัน! ถ้าอยากมีสุขภาพที่ดีขึ้น ลองเริ่มจากสิ่งเหล่านี้ดู:
1. ยิ้มให้มากขึ้น — งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า การหัวเราะช่วยลดฮอร์โมนความเครียด และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันอีกด้วย
2. นอนหลับให้เพียงพอ — การนอนดึกทำให้อารมณ์แย่ลง และรบกวนการทำงานของฮอร์โมนในร่างกาย ยิ่งทำให้สุขภาพแย่ลง การเข้านอนเร็วบางครั้งได้ผลดีกว่าการกินอาหารบำรุงเสียอีก!
3. เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง — บางครั้งการโกรธก็ไม่คุ้มค่าเลย สุดท้ายแล้ว คนที่เจ็บปวดก็คือตัวเราเอง
4. การออกกำลังกายคือ “ยาต้านซึมเศร้า” จากธรรมชาติ — การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นสมองให้หลั่ง “สารแห่งความสุข” (เอ็นดอร์ฟิน) ซึ่งช่วยบรรเทาความวิตกกังวล และเสริมภูมิคุ้มกัน ดังนั้นเวลารู้สึกเครียด ลองออกไปวิ่ง เต้น หรือขยับตัวดีกว่านอนคิดฟุ้งซ่านบนเตียง!
5. หาอะไรที่ตัวเองชอบทำ — ในชีวิตมีเรื่องมากมายที่ทำให้เรามีความสุข เช่น เล่นกับแมว กินของอร่อย ฟังเพลง หรือแม้แต่นอนดูซีรีส์ไม่ทำอะไรเลย… ขอแค่เป็นสิ่งที่ทำให้คุณผ่อนคลาย ก็ถือว่าเป็น “สารอาหารบำรุงใจ” แล้ว!

ปรึกษาโรคมะเร็ง
หากคุณต้องการทราบว่าผู้ป่วยเหมาะสำหรับการรักษาแบบบาดแผลเล็กหรือไม่ (การรักษาด้วยความเย็น การรักษาด้วยมีดนาโน การรักษาเฉพาะจุดแบบอุดตันเส้นเลือด ฯลฯ) และค่าใช้จ่ายในการรักษา กรุณากรอกข้อมูลผู้ป่วย เพื่อรับคำแนะนำจากทีมแพทย์มะเร็งผู้เชี่ยวชาญของเรา
-
โรงพยาบาลมะเร็งเฉพาะทางแห่งชาติ
-
โรงพยาบาลมะเร็งที่ได้รับรองมาตรฐาน JCI ระดับนานาชาติ
-
ศูนย์ฝึกอบรมการรักษาด้วยความเย็นแห่งเอเชีย
-
ศูนย์ชีวการแพทย์กว่างโจวสถาบันวิทยาศาสตร์จีนและเวชศาสตร์ปริวรรตสถาบันสุขภาพ