วันที่ 23 สิงหาคม 2014 โรงพยาบาลมะเร็งฟูด้ากว่างโจวได้รับผู้ป่วยน้อยพิเศษคนหนึ่ง เธออายุเพียง 6 ขวบ แต่บนอกด้านขวากลับมีเต้านมขนาดใหญ่ เสื้อผ้าถูกรั้งยกขึ้นสูง เต้านมโตนี้เป็นเนื้องอก Hamartomas (การเพิ่มจำนวนของเซลล์หรือเนื้อเยื่อที่เจริญเติบโตผิดปกติจนเกิดเป็นก้อนขึ้นมา) ที่น่าตกตะลึงแก่ผู้คน

　　เธอคือหลัวไฉ่จือจากอำเภอเหลียนซาน การเกิดของเธอไม่ได้นำมาซึ่งความปิติยินดีแก่สองสามีภรรยาหลัวเสียนทงและเติ้งเสี่ยวเอี้ยนมากนัก เนื่องจากไฉ่จือพอเกิดมาก็ถูกวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคมะเร็ง มาตรฐานทางการแพทย์ของโรงพยาบาลท้องถิ่นไม่สามารถดูแลไฉ่จือได้ จึงแนะนำสองสามีภรรยาให้พาลูกไปรับการดูแลที่โรงพยาบาลใหญ่ในเมือง

　　สองสามีภรรยาตกอยู่ในสภาพที่คิดหนักทำอะไรไม่ถูก ทั้งสองต่างก็เป็นเกษตรกรรายได้น้อย ลูกชายคนโตหลัวซื่อจื้อหลังจากสมองพิการเนื่องจากตอนเกิดป่วยเป็นดีซ่านอย่างหนัก เพื่อดูแลเขาแล้วหลายปีมานี้ใช้จ่ายเงินไปแล้วนับแสนหยวน/หลายแสนบาท ไม่ต้องพูดถึงเงินฝากออมทรัพย์ที่ใช้จ่ายไปจนหมด อีกทั้งยังเป็นหนี้อีกไม่น้อย โรงพยาบาลประชาชนเหลียนซานหลังจากทราบเรื่องราวของสามีภรรยาคู่นี้ ก็ได้ขอความช่วยเหลือไปยังท้องที่ ด้วยหวังว่าจะมีโรงพยาบาลที่สามารถดูแลไฉ่จือได้โดยไม่คิดค่าดูแล แต่ทว่าไม่มีเสียงตอบรับใดใดกลับมา

　　พ่อและแม่จำต้องพาไฉ่จือกลับบ้าน ภาระหนักที่ลูกสาวป่วยและความกดดันในชีวิตทำให้สองสามีภรรยาป่วยเป็นโรคนิ่วในไตและกระเพาะอักเสบเรื้อรัง แต่เพื่อให้เหลือเงินไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลลูกๆ พ่อแม่ทั้งสองจึงไม่เคยดูแลตัวเองเลย มองดูหน้าอกด้านขวาที่เป็นก้อนและเต้านมที่ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นของไฉ่จือ สองสามีภรรยาร้อนใจทุกวัน หลายครั้งที่พาไฉ่จือไปตรวจที่โรงพยาบาลใหญ่หลายแห่ง แต่สุดท้ายก็ต้องพาลูกกลับบ้านทุกครั้งเนื่องจากไม่มีเงินเข้ารับการดูแล

　　ก้อนมะเร็งค่อยๆ โตขึ้นตามการเติบโตของไฉ่จือเธออายุ6 ขวบแล้ว แต่นอกจากก้อนเนื้องอกที่โตเหมือนภูเขาน้อยๆ แล้ว ส่วนต่างๆ ของร่างกายล้วนแล้วแต่ผอมแห้ง ไม่มีลักษณะของเด็กอายุ 6 ขวบที่ควรจะเป็นอยู่เลย เนื่องจากผลกระทบของมะเร็ง ส่วนอกของไฉ่จือถูกกดอัดจนผิดรูป ทำให้เป็นหวัดและมีไข้บ่อยครั้ง และเมื่อเป็นไข้แล้วก็ยากที่ไข้จะลด ทุกครั้งต้องนอนโรงพยาบาลหลายวัน

　　ปี 2014 ไฉ่จือเป็นไข้อีก พ่อแม่เดินทางไปทางเหนือเพื่อหาวิธีเอาชนะ ทางด้านป้าที่ช่วยดูแลไฉ่จือนั้นได้คุยถึงเรื่องไฉ่จือให้เจ้านายฟังโดยไม่ได้ตั้งใจ เขารีบติดต่อทีมอาสาสมัครท้องที่ทันที ทีมอาสาสมัครอำเภอเหลียนซานทราบดีว่ามาตรฐานทางการแพทย์ของโรงพยาบาลท้องถิ่นไม่ดีพอ จึงติดต่อคนดีแห่งกวางตุ้งซ่างปิ่งฮุยให้กับไฉ่จือ โดยหวังว่าจะสามารถหาโรงพยาบาลที่ยินยอมดูแลไฉ่จือได้

　　หลังจากซ่างปิ่งฮุยทราบเรื่องราวของไฉ่จือ เขารีบจัดเตรียมรถไปรับครอบครัวของไฉ่จือมากวางเจาทันที และได้ติดต่อนายแพทย์สวี เค่อเฉิง คนดีแห่งกวางตุ้งอีกท่านหนึ่ง นายแพทย์สวี เค่อเฉิงเป็นผู้เชี่ยวชาญการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่มีชื่อเสียง ท่านเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งฟูด้ากว่างโจว ในระหว่างที่ได้ติดต่อกับโรงพยาบาลฟูด้า ซ่างปิ่งฮุยยังได้รู้ว่าโรงพยาบาลมีวิธีการดูแลมากมาย ทั้งเทคโนโลยีการผ่าตัด การดูแลผู้ป่วยด้วยความเย็น การให้ยาผ่านทางเส้นเลือดฝอย และการดูแลผ่านระบบภูมิคุ้มกัน ที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติต่างชื่นชม

　　เพื่อให้ไฉ่จือสามารถเข้าพักที่โรงพยาบาลได้อย่างราบรื่นศูนย์ทำงานการดูแลสุขภาพสวีเค่อเฉิงได้บริจาคเงินเพื่อดูแลไฉ่จือจำนวนหนึ่งหมื่นหยวน/ห้าหมื่นบาท ไฉ่จือเข้าพักรับการดูแลตัวที่โรงพยาบาลมะเร็งฟูด้าเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม จากผลการตรวจพบว่ามะเร็งของไฉ่จือได้เข้าสู่ระบบน้ำเหลือง ก้อนมะเร็งมีขนาด 32 × 21 × 18เซนติเมตรหน้าอกของเธอถูกก้อนเนื้อกดทับจนผิดรูป โตขยายขึ้นไปถึงกระดูกไหปลาร้า ภายในถึงข้างกระดูกหน้าอก ด้านข้างขยายไปถึงแนวเส้นใต้รักแร้ด้านหลัง (posterior axillary line) และขยายออกไปยังต้นแขนด้านขวาแล้ว ก้อนมะเร็งที่ใหญ่โตทำให้ไฉ่จือไม่สามารถเดินเหินได้สะดวก แค่เคลื่อนไหวเล็กน้อยก็หายใจหอบไม่หยุด อีกทั้งก้อนเนื้อยังอักเสบและติดเชื้อบ่อย ทำให้มีไข้สูงและยากที่ไข้จะลด ทุกครั้งหลังจากมีไข้ก้อนเนื้อจะเพิ่มขนาดโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

　　นอกจากสภาพอาการป่วยของไฉ่จือที่ทำให้สองสามีภรรยาเป็นกังวลอยู่ตลอดแล้ว ค่าใช้จ่ายในการดูแลประมาณกว่าแสนหยวน/หลายแสนบาทก็ทำให้พวกเขากลัดกลุ้มเช่นกัน จากการเชิญชวนขอความช่วยเหลือของนายแพทย์สวี เค่อเฉิง ทำให้หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่หลายสำนักพิมพ์ เช่น หนังสือพิมพ์รายวันหนานฟาง หนังสือพิมพ์ภาคค่ำหยางเฉิง ต่างทยอยกันรายงานข่าวความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องระดมทุนเพื่อผ่าตัดมะเร็งหน้าอกขนาดใหญ่ของหลัวไฉ่จือ ภายใต้ความช่วยเหลือของผู้คนที่มีความกระตือรือร้นจากทุกวงการ ในเวลาหนึ่งเดือนครึ่งรวมเงินช่วยเหลือไฉ่จือได้ทั้งหมดสองแสนหยวน/หนึ่งล้านบาท

　　วันที่ 7 ตุลาคมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ อาทิ ศาสตราจารย์สวี เค่อเฉิง， ศาสตราจารย์หลี่ เฉาหลง， ดร.หนิว ลี่จื้อ ได้ปรึกษาถึงแผนการผ่าตัดไฉ่จือ การประชุมวินิจฉัยสรุปให้ศัลยแพทย์หลี่ เฉาหลง หัวหน้าแผนกศัลยศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกถ่ายอวัยวะคนแรกแห่งเอเชีย ซึ่งรู้จักกันในนาม “มีดมือหนึ่งแห่งเอเชีย” เป็นแพทย์ผ่าตัดหลัก/มือหนึ่ง เพื่อผ่าตัดนำก้อนมะเร็งของไฉ่จือออกไป กำหนดผ่าตัดในเช้าวันที่ 9ตุลาคม

　　การผ่าตัดไฉ่จือนั้นมีความยากลำบาก 3 ประการ ประการแรก ภายในก้อนมะเร็งมีเส้นเลือดฝอยกระจายอยู่เป็นจำนวนมาก จะควบคุมปริมาณเลือดออกขณะผ่าตัดได้อย่างไร ข้อสอง เนื่องจากมีการติดเชื้อจากการอักเสบซ้ำของมะเร็ง บริเวณผิวหนังชั้นนอกจึงขรุขระเป็นหลุมและมีจุดหนึ่งซื่งยังคงติดเชื้ออยู่ ทำให้การแยกออกของก้อนมะเร็งและผิวหนังระหว่างผ่าตัดกลายเป็นความยากลำบากอย่างมาก ข้อสาม จากข้อมูลภาพสแกนเห็นว่ามะเร็งยังไม่รุกล้ำช่องอก แต่รุกล้ำเข้าไปในเนื้อเยื่อระหว่างซี่โครงแล้วบางส่วน จะผ่าตัดเนื้อเยื่อส่วนนี้ออกไปโดยไม่ทำลายเยื่อหุ้มปอดได้อย่างไรก็เป็นความยากอีกประการหนึ่ง

　　เมื่อทราบว่าจะได้รับการผ่าตัด ครอบครัวหลัวไฉ่จือต่างตื่นเต้นดีใจ ยิ่งคิดถึงว่าจะสามารถนำก้อนใหญ่ที่อกออกไปได้ ไฉ่จือยิ่งดีใจจนนอนไม่หลับ

　　วันที่ 9 ตุลาคม เวลา 8.00 น. หลัวไฉ่จือถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัด การผ่าตัดดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเกือบ 5 ชั่วโมง การผ่าตัดประสบผลสำเร็จอย่างมาก ขณะที่พ่อแม่ของไฉ่จือได้เห็นก้อนมะเร็งที่ผ่าตัดจากตัวลูกสาวถูกนำออกมาโดยศาสตราจารย์หลี่ เฉาหลง ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา ศาสตราจารย์หลี่ เฉาหลง เล่าว่า ภายใต้ความร่วมแรงร่วมใจของทีมศัลยแพทย์มีนายแพทย์จูเหว่ยปิงเป็นต้น ทำให้ปัญหาที่หารือกันก่อนการผ่าตัดทั้ง 3 ข้อ ได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดาย สัญญาณชีพของไฉ่จือเป็นปกติราบรื่นตลอดขั้นตอนการผ่าตัด มีปริมาณเลือดออกเพียง 40ml ซึ่งยังน้อยกว่าคนปกติบริจาคเลือดในหนึ่งครั้ง จากแต่ละมีดที่อดทนและกระทำอย่างช้าๆ ในการผ่าตัดของศาสตราจารย์หลี่ ไม่เพียงแต่ก้อนมะเร็งถูกแยกออกจากผิวหนังชั้นนอกและนำออกมาได้อย่างสมบูรณ์แล้ว มะเร็งที่ติดกับผนังอกจนถึงที่รุกล้ำเข้าไปในเนื้อเยื่อระหว่างซี่โครงก็ถูกผ่าตัดออกไปด้วย

　　การสู้ศึกมะเร็งครั้งแรกของไฉ่จือได้รับชัยชนะแล้ว แต่หากต้องการกำจัดมะเร็งให้สมบูรณ์ ไฉ่จือยังต้องทำการผ่าตัดครั้งที่ 2 เพราะนอกจากมะเร็งได้แพร่กระจายจากหน้าอกสู่ช่องท้องแล้ว ยังได้ขยายออกไปยังต้นแขนด้านขวาของไฉ่จืออีกด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงแผลผ่าตัดที่ใหญ่เกินกว่าไฉ่จือจะทนรับความเจ็บปวดได้ จึงไม่สามารถผ่าตัดนำก้อนมะเร็งที่ต้นแขนออกมาได้พร้อมกันในการผ่าตัดครั้งแรก