การรักษาด้วยแสงจำเพาะ (Photodynamic Therapy, PDT)
None
Author:FUDA
From:การรักษาด้วยแสงจำเพาะ (Photodynamic Therapy, PDT) คือ ปฏิกิริยาเคมีของแสงเลเซอร์ หรือเรียกว่าการรักษาด้วยเลเซอร์หรือการรักษาด้วยเลเซอร์ร่วมเคมี โดยมีหลักการพื้นฐานคือ ใช้สารเร่งปฏิกิริยาไวต่อแสงใส่ไปยังเซลล์เป้าหมายที่สามารถดูดซับสารชนิดนี้ได้ดี (การฉีดสารเร่งปฏิกิริยาไวต่อแสงผ่านหลอดเลือดดำ เนื้อเยื่อมะเร็งจะดูดซับสารชนิดนี้ได้ดี แต่เนื้อเยื่อปกติจะดูดซับสารชนิดนี้ได้น้อย) หลังจากนั้นใช้เลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นเฉพาะ ฉายไปยังบริเวณที่มีก้อนเนื้อมะเร็ง สารเร่งปฏิกิริยาไวต่อแสงที่ได้รับพลังงานโฟตอน อิเล็กตอนจะถูกกระตุ้น สารเร่งปฏิกิริยาไวต่อแสงจะถ่ายโอนพลังงานไปยังออกซิเจน สร้างอนุมูลอิสระอนุพันธ์ออกซิเจนที่ว่องไว (radical oxygen species, ROS) อนุมูลอิสระอนุพันธ์ออกซิเจนที่ว่องไวจะโจมตีโครงสร้างของเซลล์ผ่านทางออกซิเดชัน ซึ่งจะเกิดความเสียหายที่เยื่อหุ้มเซลล์หรือโปรตีนออกซิเดชัน เมื่อความเสียหายของออกซิเดชันสะสมเกินเกณฑ์ที่กำหนด เซลล์เป้าหมายก็จะตายลง
องค์ประกอบ 3 อย่างในการรักษาด้วยแสงจำเพาะ
1. สารเร่งปฏิกิริยาไวต่อแสง: ปฏิกิริยาของแสงจำเพาะ การดูดซับแสงและการกำหนดลักษณะเป้าหมาย เป็นตัวกำหนดการใช้งานทางการแพทย์และขอบเขตการรักษา
2. แสงเลเซอร์:ความยาวคลื่นถูกต้อง เสถียรภาพและการแสงเลเซอร์เป็นปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ ซึ่งเป็นตัวกำหนดประสิทธิภาพในการรักษา
3. ออกซิเจน
กลไกการทำงานและลักษณะพิเศษทางการแพทย์
n หากใช้ในปริมาณตามคำแนะนำของหลักการแพทย์ สารเร่งปฎิกิริยาไวต่อแสงนั้นไม่เป็นพิษต่อเซลล์ เพียงแค่การดูดซับพลังงานจากโฟตอนในการเพิ่มโมเลกุลภายใต้การทำงานร่วมกับออกซิเจนเท่านั้นที่ทำให้เป็นพิษต่อเซลล์
n การฉายแสงเลเซอร์ด้วยความยาวคลื่นเฉพาะทำให้เนื้อเยื่อที่ดูดซับสารเร่งปฎิกิริยาไวต่อแสงนั้นถูกกระตุ้น และสารเร่งปฏิกิริยาไวต่อแสงที่ถูกกระตุ้นนั้นจะถ่ายโอนพลังงานไปยังออกซิเจนโดยรอบ และสร้างโมเลกุลออกซิเจนที่ไม่มีอนุมูลหรืออิเลคตรอนเดี่ยว (Singlet oxygen) ที่มีปฏิกิยาสูง
n โมเลกุลออกซิเจนที่ไม่มีอนุมูลหรืออิเลคตรอนเดี่ยวและโมเลกุลใหญ่ที่อยู่ติดกันหลายตัวจะทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ทำให้โครงสร้างต่างๆของเซลล์ เช่น เยื่อหุ้มเซลล์ ไทโทคอนเดรีย ไซโซโซมเกิดความเสียหายแบบไม่สามารถซ่อมแซมได้ ซึ่งจะทำให้เซลล์ตายลงในที่สุด
n หลังจากฉีดสารเร่งปฏิกิริยาไวต่อแสงเข้ายังร่างกายผู้ป่วย ตรงบริเวณเนื้อเยื่อที่เป็นมะเร็งจะเกิดการสะสมของสารดังกล่าวในปริมาณมาก โดยเฉพาะบริเวณผิวของเส้นเลือดที่เกิดใหม่ของการแพร่กระจายของเนื้อเยื่อมะเร็ง ดังนั้นความเสียหายของเส้นเลือดที่เกิดจากการรักษาด้วยแสงจำเพาะจะทำให้เนื้อเยื่อมะเร็งขาดเลือดและขาดออกซิเจน การมีบทบาทสำคัญในการรักษาทางการแพทย์ของการรักษาด้วยแสงจำเพาะนั้นสามารถแสดงให้เห็นความสามารถในการกำจัดและทำลายเซลล์มะเร็งของการรักษาด้วยแสงจำเพาะได้
n ความสามารถในการกำหนดเป้าหมายโดยการดูดซับสารก่อปฏิกิริยาไวต่อแสงของเซลล์มะเร็งกับการฉายแสงเลเซอร์ตรงบริเวณเนื้อเยื่อมะเร็งนั้นทำให้เกิดสองทางเลือกของการรักษาด้วยแสงจำเพาะ (การเลือกตัวยาและการเลือกแสง)
แผนภาพการรักษา
ข้อดี
1.สามารถเลือกหรือจำเพาะเซลล์มะเร็งได้ดี
2.สามารถใช้รักษากับเนื้องอกที่มีลักษณะแข็ง
3. สำหรับผู้ป่วยมะเร็งหลอดอาหารและมะเร็งปอดในระยะแรกมีเปอร์เซนต์การรักษาหาย 90% สำหรับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายมีโอกาสรักษาอาการให้ดีขึ้น 70 % ขึ้นไป
4. ไม่เป็นพิษ ปลอดภัย ไม่ส่งผลกระทบต่อภูมิคุ้มกันไขกระดูก
5. ไม่ส่งผลกระทบต่อการรักษาอย่างอื่น สามารถทำร่วมกับการผ่าตัด ฉายแสง หรือให้คีโมได้
6.ระยะเวลาการรักษาสั้น
7. สามารถเห็นผลได้ใน 48-72 ชั่วโมง
การใช้ทางการแพทย์
- มะเร็งในช่องปาก:อัตราการรักษาโรคมะเร็งในช่องปาก มะเร็งโพรงจมูกของการรักษาด้วยแสงจำเพาะอยู่ที่ 75%-100%
- มะเร็งหลอดอาหาร:รักษามะเร็งระยะแรกได้หายขาดสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่แพร่กระจาย สามารถช่วยลดโอกาสการอุดตันของหลอดอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถใช้การรักษาผู้ป่วยมะเร็งหลอดอาหาร และใช้ในการรักษาเมือกที่แผร่กระจายในมะเร็งหลอดอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับโรคมะเร็งหลอดอาหารที่มีเนื้องอกเกิดขึ้นบริเวณโพรง หรือได้ทำการใส่ลวดขยาย (stent) สามารถใช้การรักษาด้วยแสงจำเพาะในการกำจัดก้อนเนื้อได้
- ภาวะที่เยื่อบุหลอดอาหารถูกแทนที่ด้วยเยื่อบุที่คล้ายเยื่อบุกระเพาะอาหาร (Barrett's esophagus): ไม่เพียงแต่ช่วยในการรักษาภาวะ Barrett's esophagus ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังสามารถป้องกันการเป็นโรคมะเร็งหลอดอาหารได้อีกด้วย
- มะเร็งปอด:สำหรับผู้ป่วยมะเร็งหลอดลมในระยะแรกมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ถึง 90% สำหรับผู้ป่วยมะเร็งหลอดลมที่มีการแพร่กระจายหรือภาวะหลอดลมอุดตันสามารถใช้การรักษาด้วยแสงจำเพาะได้อย่างมีประสิทธิภาพถึง 85%
- มะเร็งกระเพาะอาหาร:สำหรับผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารระยะแรกมีอัตราการรักษาหายขาด 85% และสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารระยะแพร่กระจายอาการดีขึ้น
- มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ:สามารถใช้ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะแรกได้หายขาด สำหรับผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะแพร่กระจายจะมีประสิทธิภาพอยู่ที่ 71%
- โรคมะเร็งอื่นๆที่สามารถใช้การรักษาด้วยแสงจำเพาะได้อย่างมีประสิทธิภาพ: มะเร็งลำไส้ตรง มะเร็งท่อน้ำดี และยังเหมาะสมที่จะใช้ในการรักษามะเร็งท่อน้ำดีที่บริเวณขั้วตับ มะเร็งตับอ่อน Ampulla carcinomaมะเร็งในช่องท้อง มะเร็งเยื่อหุ้มปอดและเยื่อบุช่องท้อง มะเร็งตับ มะเร็งสมอง และมะเร็งบริเวณระบบทางเดินปัสสาวะ
ผลค้างเคียงของการรักษาด้วยแสงจำเพาะ
n เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาแบบดั้งเดิม (การผ่าตัด ให้คีโมและฉายแสง) การรักษาด้วยแสงจำเพาะจะสร้างความเสียหายให้กับอวัยวะและเนื้อเยื่ยทั่วไปเพียงแค่เล็กน้อย
n การรักษาด้วยแสงจำเพาะไม่มีผลข้างเคียงทีรุนแรงต่อหัวใจ ตับ ไต เส้นประสาท
n หลังจากการรักษาด้วยแสงจำเพาะ จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงแสงเป็นเวลาหลายสัปหาด์ ในช่วงเวลาที่หลบแสงนั้นแสงจ้าหรือแสงแดดอาจทำให้เกิดอาการแพ้ที่บริเวณผิวหนัง (มีอาการแดง เจ็วปวด หรือผิวอักเสบเป็นต้น) ซึ่งสามารถใช้ฮอร์โมนควบคุมอาการอักเสบได้
ข้อแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่ต้องหลีกเลี่ยงแสงหลังเข้ารับการรักษาด้วยแสงจำเพาะ
วันที่ 1
หลังจากเข้ารับการรักษาด้วยแสงจำเพาะ ผิวหนังและดวงตาของผู้ป่วยจะไวต่อแสงแดดได้ง่าย จึงมีความจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรง ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ดังต่อไปนี้:
A. อยู่ในห้องที่มีม่านกันแสง หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรง
B. ใช้หลอดไฟขนาด 60 วัตต์เท่านั้น (หลอดไฟประหยัดพลังงาน 11 วัตต์) หรือหลอดไฟที่มีขนาดน้อยกว่า 60 วัตต์
C. ผู้ป่วยสามารถดูโทรศัทน์ได้ แต่ระยะปลอดภัยจะอยู่ที่ระยะห่าง 2 เมตรขึ้นไป และต้องสวมแว่นกันแดด
D. คนไข้ไม่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้
วันที่ 2-7 ผิวหนังและดวงตาของผู้ป่วยยังคงอยู่ในช่วงไวต่อแสง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสวมแว่นกันแดด และปฎิบัติตามแนวทางต่อไปนี้:
A. ค่อยๆเพิ่มแสงสว่างภายในห้อง ในช่วงเวลานี้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตกับแสงธรรมชาติตามปกติได้อย่างช้าๆ
B. ในช่วงเวลากลางวันควรพักอยู่ในห้อง และหลีกเลี่ยงการนั่งที่บริเวณใกล้หน้าต่าง ตอนกลางคืนสามารถออกไปทำกิจกรรมด้านนอกได้
C. ยังคงต้องพยายามหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรง หากมีความจำเป็นต้องออกไปด้านนอก ควรสวมแว่นกันแดด กลางร่ม และใช้ผ้าที่มีความหนาปกปิดร่างกาย
D. หากผู้ป่วยไม่ระมัดระวังและถูกแสงแดดโดยตรง จะมีอาการแสบร้อน ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยทันที และปรึกษาแพทย์
วันที่ 8-14
หลังจากวันที่ 8 เป็นต้นไป ผิวหนังของคนไข้จะยังคงมีความไวต่อแสง คนไข้ยังคงต้องหลีกเลี่ยงการถูกแสงโดยตรงหรือแสงในที่ร่มที่มีความสว่างสูง คนไข้สามารถออกไปด้านนอกได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ (ประมาณ 10-15 นาที) แต่ยังคงต้องสวมเสื้อผ้าแขนยาวขายาวเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด และต้องทำกิจกรรมในร่ม หากผิวของคนไข้ไม่เกิดอาการแดง เผาไหม้หรือพอง สามารถค่อยๆเพิ่มระยะเวลาในการทำกิจกรรมด้านนอกได้ ผิวบริเวณมือและใบหน้าจะไม่สามารถถูกแสงแดดได้มากเกินไป หากผิวเกิดอาการแดง ไหม้หรือพอง จะต้องรีบปรึกษาแพทย์โดยทันที และไม่สามารถเพิ่มระยะเวลาการทำกิจกรรมด้านนอกได้จนกว่าอาการดังกล่าวจะหายไป
วันที่ 15 เป็นต้นไป
ความไวต่อแสงของผิวหนังคนไข้จะค่อยๆกลับเข้าสู่ภาวะปกติ จะค่อยๆสามารถถูกแสงที่มีความสว่างสูงหรือแสงแดดโดยตรงได้อย่างช้าๆ และค่อยๆกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
คนไข้สามารถทดลองปล่อยมือให้โดนแสงแดดโดยตรงเป็นเวลา 5 นาที และติดตามดูสถานการณ์ว่าภายใน 24 ว่ามีอาการใดๆเกิดขึ้นหรือไม่ และค่อยๆเพิ่มจำนวนครั้งและระยะเวลามากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่มีอาการใดๆเกิดขึ้น สามารถทดลองปล่อยให้ผิวถูกแสงแดดโดยตรงได้เป็นเวลา 15 นาที หากไม่มีปัญหาใดๆ จากนั้นค่อยเพิ่มเวลาให้มากขึ้นในแต่ละวัน แต่ละครั้งควรเพิ่มประมาณ 15 นาที
ครีมกันแดดไม่สามารถปกป้องความไวต่อแสงของผู้ป่วยได้ ดังนั้นจึงห้ามทำการอาบแดดเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน และหลีกเลี่ยงการตรวจสายตาด้วยการลืมตาในแสงจ้าเป็นเวลาอย่างน้อย 30 วัน
การรักษาด้วยการให้ยาผ่านทางเส้นเลือด..
การรักษาด้วยความเย็น (Cryosurgical Ablation, CSA)..
การรักษาด้วยมีดนาโน (IRE)..
การรักษาด้วยคลื่นไมโครเวฟ..
การรักษาด้วยแสงจำเพาะ (Photodynamic Therapy, PDT)..
การรักษาด้วยคีโมร้อนบริเวณช่องท้อง..
การรักษาโดยสร้างภูมิคุ้มกันแบบองค์รวม..
-
โรงพยาบาลมะเร็งเฉพาะทางแห่งชาติ
-
โรงพยาบาลมะเร็งที่ได้รับรองมาตรฐาน JCI ระดับนานาชาติ
-
ศูนย์ฝึกอบรมการรักษาด้วยความเย็นแห่งเอเชีย
-
ศูนย์ชีวการแพทย์กว่างโจวสถาบันวิทยาศาสตร์จีนและเวชศาสตร์ปริวรรตสถาบันสุขภาพ