การรักษาด้วยโอโซน

　　การรักษาด้วยโอโซนคือการใช้อุปกรณ์บำบัดโอโซน Ozomed RSmartline ซึ่งได้รับการวิจัยอย่างแม่นยำโดยประเทศเยอรมันที่สามารถเปลี่ยนออกซิเจนธรรมดาให้กลายเป็นโอโซนที่มีพลัง และนำโอโซนที่ใช้ในการแพทย์ละลายในเลือดของผู้ป่วย จากนั้นฉีดกลับเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วยเอง ซึ่งสามารถใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง การเกิดลิ่มเลือดในสมอง โรคเกาต์ โรคเบาหวานเป็นต้น

　　การรักษาด้วยโอโซนมีลักษณะดังนี้

　　1. ขจัดของเสีย： เพิ่มความสามารถในการกลืนกินของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดนิวโตรฟิล (Neutrophil) และ โมโนไซต์ (Monocyte) ส่งเสริมความสามารถในการขจัดของเสียจากการเผาผลาญ ขจัดแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และสารพิษออกจากเลือด

　　2. กระตุ้น： กระตุ้นการทำงานของลิมโฟไซต์ (Lymphocytes) และโมเลกุล กระตุ้นระบบต้านอนุมูลอิสระ ส่งเสริมการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันและโมเลกุล

　　3. ปรับปรุง： เปลี่ยนแปลงความหนืดของโลหิตและเพิ่มออกซิเจน ปรับปรุงการไหวเวียนโลหิตและของเหลว ปรับปรุงการเผาผลาญของเซลล์ผนังหลอดเลือดให้ดีขึ้น ทำให้ผนังหลอดเลือดนิ่มลง

　　กลไกการทำงานของการรักษาด้วยโอโซน

　　1. โอโซนที่มีออกซิเดชันแข็งแรงจะทำลายไวรัส แบคทีเรีย ปรสิต และเซลล์มะเร็งที่มีการเผาผลาญสูง

　　2. เพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือดและเนื้อเยื่อ ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของเนื้องอก ส่งเสริมเซลล์มะเร็งระยะ GO ให้เข้าสู่สภาวะการเผาผลาญระดับสูง เพิ่มความว่องไวในการตอบสนองของการทำคีโมและฉายแสงของเซลล์มะเร็ง

　　3. กระตุ้นเอนไซน์ต้านอนุมูลอิสระภายในร่างกาย เพื่อทำลายของเสียและสารพิษภายในร่างกาย ส่งเสริมการทำงานภูมิคุ้มกันของร่างกายและส่งเสริมการทำงานของภูมิคุ้มกันในการต่อต้านมะเร็งของร่างกาย

　　4. ปรับปรุงปริมาณออกซิเจนของอวัยวะที่สำคัญ เช่น ตับ ไต เป็นต้น ปรับปรุงการตอบสนองการให้ยาคีโมของเนื้อเยื่อตับและไต ส่งเสริมการเผาผลาญและขับถ่ายของยาคีโม เพื่อลดผลข้างเคียงของตัวยา

　　การรักษาด้วยโอโซนเหมาะสำหรับผู้ป่วยกลุ่มใด

　　การรักษาด้วยโอโซนเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาที่ช่วยส่งเสริมการรักษาโรคมะเร็ง มีความปลอดภัย ไม่มีสารพิษ ไม่ทรมาน สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยมะเร็งจำนวนมาก และยังสามารถใช้ได้กับโรคเรื้อรังบางประเภทได้เช่น อาการลิ่มเลือดในสมองอุดตัน โรคเบาหวาน โรคเกาต์เป็นต้น โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ต้องการเสริมสร้างการตอบสนองต่อยาคีโมหรือการฉายแสงในกรณีที่เนื้องอกที่เริ่มมีการต่อต้านยาคีโมหรือฉายแสง หรือผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียโดยฉับพลัน

　　การรักษาด้วยโอโซนไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยกลุ่มใด

　　ผู้ที่เป็นโรคแพ้ถั่วปากอ้า (Favism) (อาการขาดแคลนG-6-PD) สตรีตั้งครรภ์ ไทรอยด์เป็นพิษ เกล็ดเลือดต่ำ การทำงานของปอดและหัวใจผิดปกติอย่างรุนแรง ผู้สูงอายุ 80 ปีขึ้นไป ผู้ที่อายุน้อยกว่า 20 ปี โรคภูมิแพ้ หรือเพิ่งรับยากลุ่มไคเนสมา

เจาะเลือด

เขย่าถุงเลือด

เพิ่มโอโซน

อุปกรณ์การรักษาของประเทศเยอรมัน